Learning log 11
นอกห้องเรียน
ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญทั้งในชีวิตการเรียน
การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับคนไทยหลายๆ คน
ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวและมักจะหลีกเลี่ยงการต้องพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติหรือการพูดภาษาอังกฤษต่อหน้าคนอื่นๆ
เพราะขาดความมั่นใจและทักษะด้านภาษาอังกฤษ
บางคนกังวลว่าสำเนียงไม่ดี
หลักไวยากรณ์ก็ไม่ได้ จึงทำให้ไม่กล้าที่จะฝึกพูด หรือหลายๆ คนมีจุดมุ่งหมายว่า อยากจะพูดภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษาจริงๆ
ถ้าการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา คือพูดสำเนียงแบบเขาได้อย่างชัดเจนมาก อาจเป็นไปได้ยาก มีหลายๆ คนเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาหลายปี
เวลาพูดออกมา ก็ยังไม่ได้สำเนียงชาวต่างชาติ
ฉะนั้นสิ่งที่จะพัฒนาตัวเองได้คือการฝึกฝนบ่อยๆอย่างสม่ำเสมอ
ดิฉันได้ศึกษาเว็บไซต์ http://thai.langhub.com/th-en/
เป็นเว็บไซต์ที่มีข้อแนะนำดีๆ สำหรับทุกๆ คนที่เคยถามว่า “อยากเก่งภาษาอังกฤษทำอย่างไร”
โดยข้อแนะนำทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าเรียนมากมายให้กับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ไหน
และสามารถเริ่มทำได้เองจากที่บ้าน
คำแนะนำข้อแรกคือ “เปิดหู” รอบๆ ตัวเรามีสื่อต่างๆ
มากมายที่เราสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียนภาษาอังกฤษได้ ทั้งเพลง หนัง ซีรี่ส์ ข่าว
เจียดเวลาสักนิดในแต่ละวันเพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจ ถ้าหากเราชอบฟังเพลง
ลองเลือกเพลงของศิลปินที่ชื่นชอบไว้ฟังเพื่อเรียนภาษาอังกฤษจากเพลง แต่ต้องเปิดหูฟังว่าเจ้าของภาษาออกเสียงอย่างไร
การเปิดดิกชันนารีที่มีคำอ่านภาษาอังกฤษก็สามารถช่วยให้อ่านออกเสียงตามได้ง่ายขึ้น
ข้อสองคือ “เปิดตา”
หัดเป็นคนช่างสังเกต
อย่าเปิดดิกชันนารีเพื่อดูคำแปลของคำศัพท์ภาษาอังกฤษเพียงอย่างเดียว
เพราะการอ่านนั้นมีประโยชน์มากกว่าเพียงแค่การเรียนรู้คำศัพท์
หัดสังเกตรูปแบบประโยค โครงสร้างประโยค เพื่อเรียนรู้ไวยากรณ์ภาษาอังกฤษไปในตัว
เริ่มจากประโยคสนทนาภาษาอังกฤษง่ายๆ สังเกตว่า คำนามอยู่ตรงไหน กิริยาอยู่ตรงไหน
ทำไมกิริยาบางตัวเติม s บางตัวไม่เติม
ทำไมกิริยาบางตัวเป็นรูปอดีต ปัจจุบัน อนาคต
การอ่านข่าวภาษาอังกฤษแปลไทยเป็นหนึ่งในวิธีที่จะทำให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ทั้งคำศัพท์ภาษาอังกฤษและไวยากรณ์ภาษาอังกฤษได้ควบคู่กัน
และข้อสุดท้ายคือ “เปิดปาก”สำหรับคนที่ต้องการพูดภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ใกล้เคียงกับเจ้าของภาษานั้น
ซึ่งจำเป็นที่จะต้องฝึกออกเสียงภาษาอังกฤษและฝึกพูด
หลังจากที่เปิดหูฟังเจ้าของภาษาออกเสียงภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องแล้ว
ต้องเปิดปากเพื่อออกเสียงตามและคนที่ชอบฟังเพลง สามารถร้องเพลงตามได้
คนที่ชอบดูซีรี่ส์ฝรั่ง สามารถหัดพูดประโยคต่างๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
พูดจนคิดว่าสำเนียงเริ่มคล้ายเจ้าของภาษา
คำแนะนำ 3 ข้อนี้
เป็นสิ่งที่ดิฉันสามารถเริ่มทำเองได้ตั้งแต่วันนี้ บทเรียนต่างๆ
บนเว็บสอนภาษาอังกฤษนี้จะช่วยให้ดิฉันสามารถ เปิดหู เปิดตา และเปิดปาก
ได้อย่างง่ายดาย ไม่ต้องเสียเงิน และมีประสิทธิภาพที่สุด
เพียงแค่เลือกบทเรียนที่เหมาะกับพื้นฐานภาษาอังกฤษของตนเอง ดิฉันจึงเลือกดูหนัง
ในวันพุธ ที่ 14 ตุลาคม 2558 เพื่อฝึกทักษะการฟังและการพูด (listening
and speaking skill) เรื่อง
Maleficent กำเนิดนางฟ้าปิศาจ เป็นเ
รื่องราวของหญิงสาวผู้มีรูปโฉมงดงามและจิตใจอันบริสุทธิ์ มาเลฟิเซนท์ใช้ชีวิตอันสงบสุขเติบโตขึ้นมาในอาณาจักรที่ลึกเข้าไปในป่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ได้มีกองทัพบุกเข้ามารุกรานความรื่นรมย์ของดินแดนแห่งนี้
มาเลฟิเซนท์ได้ลุกขึ้นมาเป็นผู้ปกป้องดินแดนของเธอ
แต่แล้วเธอก็ต้องเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสกับการถูกทรยศอย่างโหดร้าย ซึ่งเปลี่ยนจิตใจอันบริสุทธิ์ของเธอให้กลายเป็นจิตใจอันเย็นชาเป็นดั่งหิน
พลักดันด้วยความเคียดแค้นและความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะปกป้องชาวมัวร์ภายใต้การปกครองของเธอ
มาเลฟิเซนท์ได้ปลดปล่อยคำสาปไปสู่ทารกน้อยแรกเกิดของพระราชา “ออโรร่า”
เมื่อทารกน้อยเติบโตขึ้น ออโรร่าต้องตกอยู่ภายใต้ความขัดแย้งระหว่างอาณาจักรต้นไม้ที่เธอเติบโตมาพร้อมความรักและอาณาจักรมนุษย์ที่สืบสานความยิ่งใหญ่ของตระกูลเธอ
มาเลฟิเซนท์ตระหนักว่าออโรร่าอาจจะเป็นกุญแจที่จะนำความสงบสุขมาสู่ดินแดน
และถูกบังคับให้ต้องลงมือทำบางสิ่งที่จะเปลี่ยนโลกทั้งสองใบไปตลอดกาล
หนังเรื่องดังกล่าว
ทำให้ดิฉันได้มีข้อคิดว่า การเคียดแค้นนั้นไม่ได้นำไปสู่ความสงบสุขเลย
และเป็นการแพร่หลายความทุกข์ให้ต่อกันต่างหาก
ซึ่งสามารถนำมาซึ่งการขัดเกลาจิตใจที่ดีงามให้แก่ตนเองและผู้อื่นได้อีกทั้งได้ฝึกฟังฟังเพลงประกอบ
เรื่อง Maleficent คือเพลง
Once upon a dream ซึ่งคำศัพท์บางคำเป็นคำยาก ฟังไม่ค่อยออก
แต่บางประโยคก็สามารถพูดตามตัวละครได้โดยการเลียนแบบเสียงตัวละคร
การพัฒนาทักษะด้านการฟัง(Listening skill) ในวันพฤหัสบดี ที่ 15 ตุลาคม 2558 คือฟังเพลง when you say nothing at all, If tomorrow never comes, ในเนื้อเพลงมีความหมายประมาณว่า
คนสองคนจะรักกันตลอดไป ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็จะไม่มีวันปล่อยมือกัน
ไม่ทิ้งกันและคอยให้กำลังใจแก่กันอยู่เสมอในวันที่ท้อ
ถึงแม้จะไม่พูดออกมาแต่ต่างคนก็เข้าใจซึ่งกันและกันเสมอ และอีกเพลงที่ฉันชอบฟังและร้องตามได้เล็กน้อย
คือเพลง If tomorrow never comes
ในเนื้อเพลงจะมีคำศัพท์ยากๆเพียงไม่กี่คำ อาจจะแปลได้บ้างไม่ได้บ้าง
แต่การออกเสียงเมื่อฝึกฟังหลายๆรอบจะฟังคำศัพท์ชัดเจนขึ้น
สามารถร้องเพลงตามได้คล่องขึ้น และสังเกตเห็นประโยค I know when you
don't say a thing (ฉันรู้เมื่อคุณไม่ได้กล่าวถ้อยคำใด) ประโยคดังกล่าวขึ้นต้นด้วย
when แต่ไม่ได้หมายถึงประโยคคำถามทั่วไป คือประโยค
noun clause ที่ใช้ wh-question หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
Indirect wh-questions
การพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษในวันเสาร์ ที่ 17 ตุลาคม 2558
ดิฉันได้ศึกษาเทคนิคการจำคำศัพท์
คำศัพท์เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่มีความสำคัญมากในการเรียนภาษา
ยิ่งรู้ศัพท์มาก ยิ่งได้เปรียบ
เพราะคำศัพท์เป็นเหมือนเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการสื่อสารของคนเรา
วิธีการเรียนคำศัพท์มีหลายวิธีดิฉันได้สรุปได้ดังนี้ คือวิธีแรกคือ
กลุ่มคำที่เกี่ยวข้องกัน (vocabulary tree) อย่างเช่น
กลุ่มคำศัพท์เกี่ยวกับห้องเรียน
เราก็ต้องลิสต์ออกมาเลยว่าในห้องเรียนน่าจะมีคำว่าอะไรบ้าง เช่น chalk,
blackboard, eraser, highlighter (pen), audiocassette, file, briefcase,
textbook, notebook, pencil sharpener, briefcase, overhead projector. เป็นต้น วิธีนี้ก็จะเป็นการช่วยขยายคำศัพท์ของเราได้มากขึ้น
สองคือ จำรูปแบบของคำ ที่เรียกว่า word formation เช่น account เป็น verb, เราก็ต้องรู้ด้วยว่า
ถ้าเป็น noun จะต้อง เป็น accountant, หรือถ้าเป็น
adjective จะต้องเป็น accountable การจำแบบนี้ก็ช่วยทำให้จำได้ง่ายขึ้นเหมือนกัน
เพราะมีรากศัพท์คำๆ เดียวกัน แต่พอมาทำเป็น verb มีความหมายแบบหนึ่ง
พอคำๆ เดียวกัน เปลี่ยนมาเป็น noun ก็มีความหมายเปลี่ยนไปอีก
วิธีนี้จะช่วยให้เราขยายวงศัพท์ได้มากขึ้น สามคือ จำศัพท์เป็นวลี (phrases)
หรือจำเป็นประโยคไปเลย จะช่วยทำให้จำได้ง่ายกว่าจำเป็นคำๆ
เพราะเวลาเราจำเป็นคำๆ บางทีจะเอามาใช้ เราก็ลืมความหมาย หรือเอามาใช้ไม่เป็น
แต่พอเราจำเป็นวลี จะช่วยได้ตรงที่ เราสามารถนำมาใช้ได้ถูกต้อง เช่น advantage แปลว่าประโยชน์
แต่เมื่อนำมาใช้ว่า “เขามาเพื่อหวังเอาผลประโยชน์จากเธอ” เขียนได้ว่า He takes advantages of her.
สี่คือ ทำ vocabulary card โดยใช้กระดาษแผ่นเล็กๆ ขนาด 3x5
1 แผ่น ต่อ 1 คำศัพท์ อย่างเช่น เราจะทำคำว่า abstract
เราก็เขียนคำศัพท์, ความหมายของคำ, part of speech (noun, verb, adv, etc.) การออกเสียง และก็ตัวอย่างประโยค
และก็แต่งประโยคเองโดยใช้คำศัพท์ที่เพิ่งเรียนมาอีก 1 ประโยค
และถ้ามี synonym/antonym สามารถเขียนเพิ่มเติมไปได้ ห้าคือ
collocation คำที่มักใช้คู่กันเสมอกับคำศัพท์นั้นๆ เช่น collocation
ของ take และ have take notes; take an
advantage of; take a chance have a headache; have breakfast; have a
problem หกคือ จำเป็นภาพ
เวลาเจอคำศัพท์ที่ยากจะอธิบายหรือเป็นกลุ่มคำหลายคำแล้วเกิดอาการสับสน
ก็จะใช้วิธีเป็นภาพ แล้วหลับตานึกคำศัพท์ และจะเห็นภาพตาม เช่นคำว่า taciturn
แปลว่า เงียบขรึม พูดน้อย ก็นึกเลยว่ามีเพื่อนคนไหนมีบุคลิกแบบนี้บ้าง
และอีกวิธีคือ เรียนรู้ affixes คือการนำคำมาผสมคำในคำศัพท์
ถ้าวางไว้หน้าคำศัพท์คือ prefixes/ วางไว้หลังคำศัพท์เรียกว่า
suffixes การรู้ affixes ของคำศัพท์จะช่วยเราได้เมื่อไปอ่านเจอคำศัพท์ที่ไม่รู้จักและสามารถช่วยเรา
เดาคำศัพท์ใหม่ได้ด้วย ยกตัวอย่าง คำว่า autobiography คำนี้สามารถแยกออกมาเป็นคำๆ
เป็น prefixes และ suffixes ได้ คือ auto/bio/graph/y
Auto แปลว่า self, bio แปลว่า life,
graph แปลว่า write, y เมื่อนำมาเติมท้ายคำจะแปลว่า
the result of พอนำความหมายของทุกตัวมารวมกัน
ก็จะแปลได้ว่า the result of writing about one’s own life. และบอกได้ว่า
คำๆ นั้นทำหน้าที่เป็นอะไรใน part of speech ได้อีกด้วย เช่น
ถ้าเรารู้ว่า suffixes เช่น -ence, -or, -er, -ment,
-ist, -ism, -ship, -sion, -ness, -hood, -dom เมื่อนำมาเติมท้ายคำศัพท์จะทำให้คำๆ
นั้นเปลี่ยนหน้าที่เป็น Noun ใน part of speech ยกตัวอย่างเช่น คำว่า write เป็น verb พอเอา suffix –er มาเติมท้าย ก็จะกลายเป็น Noun.
จากการเรียนรู้เทคนิคดังกล่าวทำให้ดิฉันเกิดความรู้และสามารถนำเทคนิคดีๆดังกล่าวมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันได้
เพราะดิฉันทราบว่าความรู้ในด้านคำศัพท์ของดิฉันอยู่ในระดับที่อ่อน
ยังมีคำศัพท์มากมายหลายหมวดหมู่ที่จำไม่ได้ ซึ่งส่งผลให้การสื่อสารกับชาวต่างชาติเกิดความขัดข้องและไม่เข้าใจตรงกัน
อาจเป็นเพราะบริบทของการใช้คำศัพท์นั้นๆผิดเพี้ยนไป เพราะคำศัพท์เป็นดั่งเครื่องมือสำคัญที่ช่วยในการสื่อสาร
ดังนั้นหนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดที่จะช่วยพัฒนาคำศัพท์ให้ดีขึ้น คือ
การจดบันทึกคำศัพท์ลงในสมุดและฝึกจำคำศัพท์เพียงวันละไม่กี่คำ
หรือการเขียนคำศัพท์ลงกระดาษแล้วแปะในบริเวณห้อง หรือฝาผนังในห้องนอน
เมื่อเราเห็นบ่อยๆ อ่านทุกๆวันจะทำให้เราจดจำคำศัพท์ได้อย่างอัตโนมัติ
การฝึกทักษะการอ่าน (Reading
skill) ในวันที่ 17-19 ตุลาคม 2558 ดิฉันได้ยืมหนังสือที่น่าสนใจจากห้อง American corner เรื่อง The Twilight Saga ภาค 1 เนื้อเรื่องว่าด้วย เบลล่า สวอนนางเอกของเรื่อง ที่ไม่เหมือนเด็กสาววัยรุ่นทั่วไป
เธอไม่สนใจวัตถุนิยม ไม่ตามเทรนด์ ซึ่งพ่อแม่ได้หย่าร้างกัน
โดยเธอได้อาศัยอยู่กับแม่ ต่อมา แม่ของเธอได้แต่งงานใหม่
เบลล่าคิดว่านี่จะเป็นการเปิดโอกาสให้กับแม่ของเธอ
เธอจึงย้ายไปอยู่กับพ่อที่ฟอร์คส, สหรัฐอเมริกา
ที่ฟอร์คสเป็นเมืองที่ฝนตกตลอดปี ไม่มีแดด มีต้นไม้เขียวชอุ่ม เธอจำใจย้ายมาอยู่
เพราะสามีใหม่ของแม่เป็นนักเบสบอลและต้องเดินทางบ่อย
และแม่ต้องคอยดูแลเธออยู่ที่บ้าน
เบลล่าคิดว่ามันทำให้แม่ไม่มีความสุขนัก
เมื่อวันแรกที่เธอได้ย้ายเข้ามาโรงเรียนใหม่ เธอคิดว่ามันก็คงไม่ต่างอะไรจากโรงเรียนเก่าของเธอ
แต่นั่นทำให้เธอได้พบกับนักเรียนชายผู้เพอร์เฟ็ค เขาทั้งรูปงาม แข็งแรง
และฉลาดมากต่างจากนักเรียนชายทั่วๆไป เขามีนามว่า เอ็ดเวิร์ด คัลเลน ในตอนเช้า
เธอเห็นเขาจ้องเธอตลอดอย่างไม่ละสายตา
แต่เมื่อเธอและเขาต้องมานั่งใกล้กันตอนเรียนวิชาชีววิทยาเนื่องจากเหลือที่นั่งข้างเขาเพียงที่เดียว
เขากลับไม่สนใจเธอแม้แต่น้อย และทำท่าทางเหมือนรังเกียจเธอ ภายหลัง
เขาได้หายตัวไปเป็นเวลา 1 สัปดาห์ และกลับมาใหม่
เอ็ดเวิร์ดเคยช่วยชีวิตเบลล่าจากรถตู้ที่จะชนเธอด้วยการที่เขาหยุดมันด้วยมือเปล่า
ทำให้เบลล่าตกตะลึงเป็นอย่างมาก
และอีกหลายครั้งที่เอ็ดเวิร์ดช่วยเบลล่าจากเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน
เขาอ่านใจทุกคนได้ แต่มันใช้ไม่ได้กับเธอ ต่อมา
เบลล่าได้รู้ว่าเอ็ดเวิร์ดเป็นแวมไพร์และครอบครัวของเขาต่างจากแวมไพร์ทั่วไป
ครอบครัวเขาละเว้นการดื่มเลือดมนุษย์แต่ล่าสัตว์ใหญ่บนภูเขาสูงแทน
ก่อนหน้านั้นเอ็ดเวิร์ดสงสัยในตัวเบลล่า จึงแอบเข้าไปที่ห้องนอนเธอในขณะที่เธอหลับ
เขาได้ยินเธอพึมพำเรียกชื่อเขาออกมา
เขาจึงได้รู้ว่าทั้งเธอและเขาต่างตกหลุมรักซึ่งกันและกัน
แต่ทุกอย่างไม่ได้ดีเสมอไป เมื่อเจมส์ วิคตอเรีย และ ลอเรนท์
คู่ปรับของเอ็ดเวิร์ดได้เดินทางมาฟอร์คส พวกเขาคิดว่าการที่เอ็ดเวิร์ดสูญเสียคนรัก
จะทำให้เขาต้องเจ็บปวดในชีวิตที่เป็นอมตะของตนเอง ความรัก ความเป็นอมตะแวมไพร์
การสูญเสีย ยามแรกรัตติกาล จะทำให้เขาและเบลล่ารักกันไม่ได้
แต่สุดท้ายทั้งคู่ก็คบกัน และเรื่องก็จะเพิ่มขึ้นในภาคต่อมา เมื่อปัญหาและอุปสรรคเกิดขึ้น
จากการศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้ฝึกฝนทักษะทั้ง 4 ด้าน
เพื่อพัฒนาความรู้ความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษ ผ่านการดูหนัง ฟังเพลง
การอ่านนวนิยาย การฝึกเขียนคำศัพท์ให้ถูกต้องเพื่อสามารถจดจำคำศัพท์ได้หลากหลายหมวดหมู่และสามารถนำไปใช้ในการสนทนาได้ถูกต้องตามบริบท
ดิฉันเชื่อว่าไม่มีคำว่าสายเกินไปสำหรับการเรียนรู้
หากเริ่มเปิดรับภาษาอังกฤษเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันเตั้งแต่วันนี้ วันข้างหน้าเราจะต้องพัฒนาขึ้นอย่างแน่นอนและสามารถนำความรู้ต่างๆเพื่อปรับใช้ในวิชาชีพและการดำเนินชีวิตในยุคประชาคมอาเซียนได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น