Learning log 3
(ในห้องเรียน)
จากการที่ดิฉันได้ศึกษาในชั้นเรียนครั้งนี้
ดิฉันได้ความรู้เรื่อง Tenses การศึกษาหลักการใช้ tenses
ทั้ง 12 เพื่อนำไปสู่การแปลประโยคได้อย่างถูกต้องและมีความสละสลวย
Tenses คือ รูปแบบหรือโครงสร้างของกริยาที่แสดงให้เราทราบว่า
การกระทำหรือเหตุการณ์นั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tenses นี้เป็นเรื่องสำคัญถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก
เราก็ไม่สามารถสื่อภาษากับคนอื่นไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ
tense เสมอ ซึ่งต่างกับภาษาไทยที่เราจะมีข้อความบอกว่าเกิดขึ้นเมื่อไหร่มาช่วยเสมอ
แต่ภาษาอังกฤษจะใช้รูป tense นี้มาเป็นตัวที่บ่งบอกกาลเวลา
การศึกษาเรื่อง tense
จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่งเพื่อให้เราได้มีความเข้าใจในประโยคนั้น
เพราะการแปลประโยคจากภาษาอังกฤษเป็นไทย หรือจากภาษาไทยเป็นอังกฤษนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย
หากเราเรียบเรียงประโยคผิด หรือใช้คำผิดความหมายของประโยคนั้นก็จะผิดเพี้ยนเช่นกัน
tense จึงเป็นเรื่องที่จำเป็นที่เราควรตระหนักถึงความถูกต้อง
เพื่อนำไปสู่การแปลที่แม่นยำ และถูกต้อง tense
จะแบ่งออกเป็น 3 tenses
ใหญ่ๆคือ Present tense (ปัจจุบัน) Past tense(อดีต) และ Future tense (อนาคต)
Present tense เป็นการบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ 4 คือ Simple tense, Continuous tense, Perfect tense และPerfect Continuous ซึ่งแต่ละ tense จะมีโครงสร้างที่แตกต่างกัน Present Simple tense โครงสร้างคือ S+V.1+… (เป็นการบอกความจริงที่เกิดขึ้นตรงๆไม่ซับซ้อนที่เราทำเป็นประจำ) เช่น I study every day. (ฉันเรียนทุกวัน) เป็นการบ่งบอกว่าเราทำเป็นประจำทุกวัน มีหลักการใช้ที่นอกเหนือกว่านี้คือ ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ คำสุภาษิต คำพังเพย หรือเป็นจริงในขณะที่พูดแม้ว่าก่อนหรือจะไม่พูดก็ตาม รวมทั้งการกระทำที่คิดว่าเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ และการเล่าสรุปเรื่องในนิยาย หรือนิทานต่างๆ และยังสามารถใช้กับการกระทำที่มีคำวิเศษณ์บอกเวลา ดังตัวอย่างข้างต้น
Present Continuous tense หรือ Progressiveโครงสร้างคือ S.+is,am,are+V.ing (เป็นการบอกว่าขณะนี้กำลังเกิดอะไรอยู่) เช่น I am studying right now (ขณะนี้ฉันกำลังเรียนอยู่) เป็นการบ่งบอกว่าตอนนี้ หรือในช่วงเวลานี้กำลังเรียนอยู่ โดยใช้ right now เป็นตัวเชื่อมเพื่อเน้นย้ำสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบัน แต่ในการสร้างประโยค เราอาจจะไมใช้ก็ได้ โดยมีหลักการใช้เพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้ คือ ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน ในวันนี้หรือในปีนี้ และสามารถใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ เช่น ใช้คำว่า เร็วๆนี้ หรือพรุ่งนี้
Present Perfect tense โครงสร้างคือ S+ has/have+ V.3 +… (เป็นการบ่งบอกว่าได้ทำมานานแล้ว จนถึงปัจจุบัน) เช่น I have already studied Chapter One. หมายความว่าฉันเรียนบทที่ 1 หมดแล้ว เป็นการบ่งบอกว่าเขาได้เรียนบทที่ 1 มาแล้วจนจบบทแล้วตอนนี้ อาจจะเรียนมาตั้งแต่ใช้หรือเวลาก่อนหน้านี้ แล้วเราก็จะเรียนบทที่ 2 ต่อ โดยสังเกตเห็นว่าในประโยคจะใช้ already ซึ่งเป็นเพียงการเน้นย้ำ แต่ในการสร้างประโยคเราอาจละหรือใส่ก็ได้ โดยมีหลักการใช้เพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้คือ ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคตก็ได้และจะมีคำว่า ever (เคย), never (ไม่เคย) มาใช้ร่วมด้วยในประโยค และใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีตและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน โดยใช้คำว่า Since (ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาร่วมด้วยเสมอ และยังสามารถใช้กับเหตุการณ์ที่พึ่งจบไปแล้วไม่นานดังตัวอย่างข้างต้นและใช้ yet ,just ร่วมด้วยในประโยคเช่นเดียวกับ Present Perfect continuous tense จะมีหลักการใช้เหมือนกันเพียงแต่เน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย
Past tense เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ 4 คือ Past Simple tense, Past Continuous tense, Past Perfect tense และPast Perfect Continuous tense. ซึ่งแต่ละ tense ก็จะมีโครงสร้างและหลักการใช้ที่แตกต่างกัน Past Simple tense โครงสร้างคือ S.+ V.2+… เป็นการบอกเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต ) เช่น I studied last night. แปลได้ว่า เมื่อคืนนี้ฉันเรียนหนังสือแล้ว เป็นการบ่งบอกว่าเมื่อคืนนี้ เราได้เรียนหนังสือแล้ว เป็นเหตุการณ์ที่ผ่านไปแล้ว จบแล้วตั้งแต่เมื่อคืน ซึ่งตอนนี้ไม่ได้เรียน เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว และจบลงแล้วในอดีต มิได้เกี่ยวต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูดและมักมี yesterday ,year ร่วมด้วย และมีหลักการใช้ที่เพิ่มเติมจากนี้คือ ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาโดยมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ เช่น always, every day เป็นต้น และใช้กับเหตุการณ์ที่เคยทำมาแล้วในอดีตแต่ปัจจุบันไม่ได้เกิด ซึ่งใช้คำว่า ago ร่วมอยู่ด้วยในประโยค
Past Continuous tense โครงสร้างในการแต่งประโยค คือ S.+ was/were +V.ing เป็นการบ่งบอกเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นหรือกำลังทำอยู่ในอดีต เช่น I was studying when they came. แปลความหมายได้ความว่า เมื่อพวกเขามาถึง ฉันกำลังเรียนอยู่ ซึ่งเป็นการบอกเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ โดยเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทีหลังเป็น Past Simple โดยมีหลักการใช้ นอกเหนือจากนี้อีกคือ มักจะใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน และใช้กับเหตุการณ์ที่ได้กระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day,yesterday และใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน และอีกตัวอย่างที่อาจารย์ได้ยกตัวอย่างในห้องเรียน คือ “เมื่อวานเธอกำลังทำอะไรอยู่ตอนฝนตก” ซึ่งเป็นตัวอย่างประโยคที่เห็นโครงสร้างและความหมายได้ชัดเจน และเข้าใจมากขึ้น
Past Perfect tense มีโครงสร้างในการแต่งประโยคคือ S.+ had+ V.3+… เป็นการบ่งบอกเรื่องที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น I had already studied Chapter One before I began to study Chapter Two. แปลความหมายได้ความว่า ฉันเรียนบทที่ 1 เรียบร้อยแล้ว ก่อนฉันจะเรียนบทที่ 2 ) เป็นการบอกว่าเหตุการณ์ที่ 1 เสร็จเรียบร้อยแล้วในอดีต เหตุการณ์ใหม่จึงจะปรากฏแต่จะเรียบร้อยทั้ง 2 เหตุการณ์และมีอีกหลักการคือ ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกประโยคด้วยทุกครั้ง Past Perfect Continuous tense จะมีหลักการใช้ทุกประการเหมือนกันเพียงแต่ย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด
Future tense เป็นการกล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งสามารถแยกย่อยได้ 4 คือ Future Simple tense, Future Continuous tense, Future Perfect tense และ Future Perfect Continuous tense Future Simple tense มีโครงสร้าง คือ S.+will/shall+V.1+… เป็นการบ่งบอกเรื่องราวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เช่น I will study tomorrow แปลได้ความว่า พรุ่งนี้ฉันจะเรียน ซึ่งเป็นการบ่งบอกถึงเหตุการณ์ที่คาดหวังว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต สามารถบอกอนาคตได้แน่นอน โดยใช้คำว่า tomorrow ร่วมทั้ง to night ,next week, next mouth มาร่วมอยู่ด้วยในประโยค นอกจากนี้เราสามารถใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติ หรือจงใจก็ได้ แต่ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติ และสำหรับการใช้ Future Continuous tense เป็นการใช้กับเหตุการณ์ 2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต
Future Perfect tense รูปแบบโครงสร้างในการสร้างประโยคคือ S.+will+have+V.3 เป็นการบ่งบอกเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น หรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง เช่น I will have studied Chapter Four before I study Chapter Five. แปลความหมายประโยคดังกล่าวได้ว่า ฉันจะเรียนบทที่ 4 เสร็จเรียบร้อย ก่อนที่ฉันจะเรียนบทที่ 5 ซึ่งเป็นการบ่งบอกเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จดังตัวอย่างข้างต้น โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย เช่น by tomorrow, by next week สำหรับ Future Perfect Continuous tense ก็เช่นเดียวกัน จะมีการใช้ที่เหมือนกัน แต่เพียงว่าเน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย
ดังนั้นการเรียนรู้เรื่อง tenses จึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากเป็นดั่งกระดูกสันหลังของมนุษย์ที่เรียนรู้ภาษาอังกฤษ เพราะคำกริยาในประโยคภาษาอังกฤษจะบ่งบอกการกระทำให้ทราบว่าเกิดขึ้นเมื่อไร เกิดขึ้นแล้วหรือกำลังจะเกิดขึ้น หรือเกิดขึ้นแล้วในอดีตและยังคงดำเนินอยู่ต่อไปในปัจจุบัน สำหรับคำกริยาในประโยคภาษาไทยจะไม่บอกเวลา แต่อาจดูเวลาของการกระทำได้จากคำขยายกริยาในประโยค ซึ่งในการแปลภาษาอังกกฤษเป็นภาษาไทย มักจะมีปัญหาเรื่องการบ่งบอกช่วงเวลา ประโยคในภาษาอังกฤษที่ ใช้ tenses ต่างกัน อาจแปลเป็นภาษาไทยเหมือนกัน ทำให้ภาษาที่แปลออกมาไม่ถูกต้อง จึงเป็นสิ่งที่เราควรตระหนักมากในการเข้าใจโครงสร้างของแต่ละ tenses ให้ครบทั้ง 12 tenses ก็จะทำให้เราสร้างประโยคภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง มีความหมายตรงตามช่วงเวลาทั้งการสื่อความหมายทางภาษาอังกฤษและภาษาไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น