Learning log 6
(นอกห้องเรียน)
การศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้
ดิฉันได้ไปพัฒนาทักษะ 2 ทักษะคือ ด้านการอ่าน (Reading skills)และการฟัง (Listening
skills )การเรียนรู้ภาษาอังกฤษหรือภาษาใดก็แล้วแต่มีเพียง 4
ทักษะหลักๆที่เราจะต้องเรียนรู้ คือ ฟัง พูด อ่าน และเขียน
ก่อนทำการศึกษาเราควรรู้ระดับของตัวเองก่อนว่าภาษาเราแย่มาก แย่ ใช้ได้ ดี หรือ
ดีมากแค่ไหน
วิธีทดสอบไม่ต้องไปหาแบบทดสอบมาทำให้ยุ่งยากเพราะเรารู้ตัวเราเองอยู่แล้วว่าเราอยู่ระดับไหน
แล้วตั้งเป้าหมายหรือหาจุดมุ่งหมายของการเรียนว่าเราจะพัฒนาทักษะด้านใด
การอ่านและการฟังจึงมีความสำคัญในการเรียนภาษาอังกฤษ ถ้าอ่านน้อยได้น้อย
อ่านมากได้มาก ยิ่งฝึกฟังมากขึ้นเราจะคุ้นชินและเข้าใจมากขึ้น
อยู่ที่ความขยันของตัวบุคคล
ดิฉันจึงเลือกอ่านหนังสือนอกเวลาจากศูนย์ภาษา American conner เรื่อง Dracula
โดย Bram Stoke ซึ่งเป็นหนังสือ Level
2 จึงเป็นระดับที่เหมาะสมแก่ผู้เริ่มฝึกการอ่าน จากอ่านได้ความว่า Jonathan Harker ทนายความหนุ่มเดินทางไปปราสาท Dracula ซึ่งอยู่ในแคว้นทรานซิลเวเนีย
ประเทศโรมาเนีย ในยุโรปตอนกลางเพื่อจัดการเรื่องโอนที่ดินซึ่ง Count Dracula ผู้ร่ำรวยคนหนึ่ง
ซื้อไว้ ระหว่างการเดินทางก็มีชาวบ้านพยายามเตือนว่าไม่ควรไปที่นั่น
แต่โจนาธานก็ยังยืนยันจะไปให้ได้เพราะเป็นงานที่ต้องทำ
เมื่อไปถึงก็เจอกับปราสาทเก่าแก่ทรุดโทรม และ Count Dracula ซึ่งเป็นคนมีการศึกษาดีและแสดงตัวเป็นเจ้าของบ้านที่ดี
แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่วันโจนาธานก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเป็นนักโทษในปราสาทหลังนี้มากกว่าเป็นแขก
ยิ่งนานเข้าก็ยิ่งอึดอัดและรู้สึกกลัว มารู้ต่อไปว่า Count Dracula มีอำนาจพิเศษ เป็นแวมไพย์ผีดูดเลือด
การอ่านหนังสือดังกล่าวทำให้ดิฉันทราบว่า
การอ่านจะต่างจากการฟังตรงที่เวลาอ่านพยายามทำความเข้าใจในสิ่งที่เรากำลังอ่าน
หากเจอคำศัพท์แปลกที่เราไม่รู้ความหมายให้เปิดพจนานุกรมและเขียนกำกับไว้
หากเป็นไปได้ควรอ่านทุกวันอย่างน้อยวันละหนึ่งตอน
เจอคำที่ไม่รู้ให้เปิดพจนานุกรมและเขียนไว้ถึงแม้จะเป็นคำเดิมที่เราเคยเจอและเคยเปิดมาแล้ว
เพราะถ้าเปิดอีกรอบนั่นหมายความว่าเรายังจำไม่ได้
หากอ่านทุกวันเราจะเห็นว่าเราจะเจอคำศัพท์เดิมๆบ่อยครั้ง
ในที่สุดเราจะจำคำนั้นๆได้โดยอัตโนมัติ
แต่การอ่านไม่จำเป็นต้องเปิดแบบละเอียดทุกคำเพราะมันจะทำให้เราเกิดอาการหงุดหงิดท้อละเลิกอ่านไปในที่สุด
บางทีเราสามารถเดาความหมายจากบริบทได้
การฝึกทักษะด้านการฟังคือการฟังเพลง
เชื่อว่าทุกคนฟังเพลงสากล แต่มีกี่คนที่รู้ว่าเพลงที่ฟังอยู่สื่อถึงอะไร
หรือเนื้อเพลงแปลว่าอะไร หากฟังแบบนั้นจะเป็นแค่การฟังเพื่อความเพลิดเพลิน
การฟังที่ได้เรียนรู้ไปด้วยแนะนำให้เปิดหาความหมายของเนื้อร้องประกอบไปด้วย
อาจจะฝึกแปลเองหรือเข้าไปหาดูบทแปลจากอินเตอร์เน็ท
แต่ระวังเพราะบางเว็บที่แปลเพลงสากลอาจแปลได้ไม่ค่อยตรงความหมายของเพลง
หรือความหมายไม่ได้ตามอารมณ์ที่ควรจะเป็นของเพลงนั้นๆ ข้อดีของการฟังเพลงคือเพลง 1
เพลงปกติเราไม่ฟังแค่รอบเดียวแล้วเลิกฟัง เรามักจะฟังซ้ำๆทุกวันจึงทำให้เกิดการคุ้นหูและเคยชินกับประโยคในเพลง
หากเรารู้ความหมายจะเป็นการดีที่เราได้เรียนรู้ทั้งคำศัพท์และตัวอย่างการใช้ไปในตัว
เวลาจำไปใช้ก็เอาไปทั้งประโยคได้
ดิฉันเลือกฝึกภาษาอังกฤษผ่านการฟังเพลง
ซึ่งทำให้เรารู้สึกมีความสุขและเพลิดเพลินในการฟังเพลงแล้ว
ยังสามารถช่วยในการเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง เพลงที่ดิฉันฟังมีหลากหลายเพลง
หลากหลายแนว แต่เพลงที่ชอบและฟังแล้วสามารถร้องตามได้บ้าง คือ See you again , Let it go , I Lay my love on you ,My love ,take me to
your heart ,walk you home etc. เพลง walk you home เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่อง I fine thank you love you เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับ
ติวเตอร์ภาษาอังกฤษสาว ต้องพบกับเรื่องราวอันสุดแสนจะน่าปวดหัว
เมื่อลูกศิษย์ชาวต่างชาติของเธอตัดสินใจทิ้งแฟนหนุ่มคนไทยไปอเมริกา
แต่ด้วยความที่ยิมฟังภาษาอังกฤษไม่ออก
เธอจึงอัดวีดิโอบอกเลิกแล้วขอร้องให้เพลงช่วยไปเปิดแปลให้ยิมฟัง
เมื่อยิมรู้ว่าถูกบอกเลิกก็โมโหมาก จึงตัดสินใจไปสมัครเรียนคอร์สภาษาอังกฤษกับเพลง
โดยหวังจะตามไปง้อแฟนที่อเมริกา ระหว่างที่การเรียนการสอนของเพลงและยิมค่อยๆ
ผ่านไปในแต่ละวัน ทั้งคู่ซึ่งเคยดูเหมือนเกลียดกันในตอนแรก
กลับค่อยๆพอกพูนความรู้สึกดีๆ ต่อกันขึ้นเรื่อยๆโดยไม่ทันรู้ตัว และลงเอยด้วยรัก
ดังนั้นการศึกษานอกชั้นเรียนครั้งนี้ทำให้ฉันได้พัฒนาทักษะ
2 ทักษะคือ การอ่านและการฟัง
ฉันเลือกอ่านหนังสือนอกเวลาและฝึกฟังเพลง ทำให้ฉันเกิดการเรียนรู้มากขึ้น
ทุกครั้งที่เราอ่านหรือฟังเราจะได้รับประโยชน์อย่างแน่นอน
อาจจะไม่มากนักแต่เราสามารถ
เลือกอ่านหนังสือเล่มที่อยากอ่านจริงๆและเลือกที่จะฟังเพลงที่เราอยากฟังซ้ำแล้วซ้ำอีก
จะทำให้เรารู้สึกมีแรงบันดาลใจในการอ่านเพื่อใช้ฝึกฝนภาษาอังกฤษให้ดีขึ้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น