วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning log 11 นอกห้องเรียน

                                                              Learning log 11

นอกห้องเรียน

        ความสามารถในการสื่อสารภาษาอังกฤษเป็นสิ่งสำคัญทั้งในชีวิตการเรียน การทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน สำหรับคนไทยหลายๆ คน ภาษาอังกฤษเป็นเรื่องที่น่าสะพรึงกลัวและมักจะหลีกเลี่ยงการต้องพูดภาษาอังกฤษกับชาวต่างชาติหรือการพูดภาษาอังกฤษต่อหน้าคนอื่นๆ เพราะขาดความมั่นใจและทักษะด้านภาษาอังกฤษ  บางคนกังวลว่าสำเนียงไม่ดี  หลักไวยากรณ์ก็ไม่ได้ จึงทำให้ไม่กล้าที่จะฝึกพูด   หรือหลายๆ คนมีจุดมุ่งหมายว่า อยากจะพูดภาษาอังกฤษให้เหมือนเจ้าของภาษาจริงๆ ถ้าการพูดให้เหมือนเจ้าของภาษา คือพูดสำเนียงแบบเขาได้อย่างชัดเจนมาก  อาจเป็นไปได้ยาก  มีหลายๆ คนเคยใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศมาหลายปี เวลาพูดออกมา ก็ยังไม่ได้สำเนียงชาวต่างชาติ ฉะนั้นสิ่งที่จะพัฒนาตัวเองได้คือการฝึกฝนบ่อยๆอย่างสม่ำเสมอ 
ดิฉันได้ศึกษาเว็บไซต์ http://thai.langhub.com/th-en/ เป็นเว็บไซต์ที่มีข้อแนะนำดีๆ สำหรับทุกๆ คนที่เคยถามว่า อยากเก่งภาษาอังกฤษทำอย่างไรโดยข้อแนะนำทั้งหมดเป็นสิ่งที่เราสามารถทำได้เองโดยไม่ต้องจ่ายเงินค่าเรียนมากมายให้กับโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษที่ไหน และสามารถเริ่มทำได้เองจากที่บ้าน
คำแนะนำข้อแรกคือ เปิดหู  รอบๆ ตัวเรามีสื่อต่างๆ มากมายที่เราสามารถใช้ให้เป็นประโยชน์ในการเรียนภาษาอังกฤษได้ ทั้งเพลง หนัง  ซีรี่ส์ ข่าว เจียดเวลาสักนิดในแต่ละวันเพื่อหาสิ่งที่น่าสนใจ ถ้าหากเราชอบฟังเพลง ลองเลือกเพลงของศิลปินที่ชื่นชอบไว้ฟังเพื่อเรียนภาษาอังกฤษจากเพลง  แต่ต้องเปิดหูฟังว่าเจ้าของภาษาออกเสียงอย่างไร การเปิดดิกชันนารีที่มีคำอ่านภาษาอังกฤษก็สามารถช่วยให้อ่านออกเสียงตามได้ง่ายขึ้น

วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning log 10 นอกห้องเรียน

Learning log 10

นอกห้องเรียน

เมื่อแรกเกิดทุกคนยังไม่มีความสามารถในการที่จะสื่อสาร หรือเข้าใจในทุกสิ่งที่คนอื่นๆ เขาพูดกันได้ กว่าจะฟังทุกอย่างรู้เรื่องและเข้าใจว่าเขาพูดถึงอะไร หรืออันนี้หมายความว่าอะไร ก็ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ  ดังนั้นทักษะแรก ทางภาษาที่ได้ก็คือ ทักษะการฟัง เมื่อได้ทักษะการฟังแล้ว ก็จะพยายามที่จะพูด โดยการเลียนเสียงที่ได้ยิน และเริ่มหัดพูดตาม ในช่วงแรกๆ ก็ยังพูดไม่ได้เป็นประโยค พูดถูกบ้าง ผิดบ้าง  แต่จะเริ่มพูดจากคำสั้นๆ ก่อน และก็ค่อยผสมคำไปเรื่อยๆ จนกระทั่ง สามารถพูดได้เป็นประโยค จากนั้น เรามาเรียนหลักการใช้ภาษาอย่างถูกต้อง เมื่อเริ่มเข้าโรงเรียน ซึ่งช่วยให้อ่านหนังสือออก และเขียนหนังสือได้ตามลำดับ  สำหรับบางคนเรียนภาษาที่สองมาเป็นระยะ เวลาหนึ่ง และประสบปัญหาว่า เรียนมาหลายปีแล้วยังใช้ภาษาได้ไม่ดีเท่าที่ควร หรือพูดไม่ได้ ดิฉันจึงลองนำวิธีนี้ไปปรับใช้ในการเรียนภาษาอังกฤษ
ขั้นแรก เริ่มจากการฟัง  ให้ฝึกฟังทุกวันอย่างน้อยที่สุด วันละ 13 ชั่วโมง เพื่อให้เราเคยชินกับสำเนียงของภาษา ในตอนแรกไม่ต้องกังวลอะไร  ว่าเราฟังไม่ออก เราอาจจะฟังรู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้างก็ไม่เป็นไร เพราะลักษณะในการเรียนภาษานั้น เด็กจะไม่ใช้ความคิดหาเหตุผล เด็กจะใช้วิธีเลียนแบบอย่างเดียว ลอง เปิดวิทยุหรือโทรทัศน์ให้เสียงดังพอ เพื่อที่เราจะได้ยินวิธีการพูดของเขาอย่างชัดเจน หรือจะใส่หูฟังก็ได้ ยิ่งดี  เพราะจะทำให้เราได้ยินการออกเสียงของเขาในแต่ละคำได้ชัดเจนดี ขณะที่ฟังไปนั้น อย่าฟังจนเพลิน ให้สังเกตวิธีการพูดของเขาด้วย ว่าเขาออกเสียงอย่างไร ถ้าดูหนัง ก็ให้สังเกตุวิธีการขยับปากไปด้วย ว่าเขาขยับปากอย่างไร แล้วฝึกขยับปากตาม พึมพำตามไปก่อนก็ได้ ถ้ายังพูดตามไม่ทัน เพราะแต่ละภาษามีทำนองภาษาพูดที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว ภาษาอังกฤษก็เช่นเดียวกัน  การที่เราพึมพัมตามเขาไป จะทำให้เรารู้จังหวะการพูดของเขาได้  การขยับปากตามเป็นการฝึกกล้ามเนื้อที่ริมฝีปากด้วย (เป็นการเตรียมพร้อมสู่ทักษะการพูดในขั้นต่อไป)

Noun Clauses

Exercise  :   Noun Clauses
1.That
-That  Peter  will  come  back  home  tomorrow  is  uncertain.
  ที่ว่าปีเตอร์จะกลับบ้านวันพรุ่งนี้ยังไม่แน่นอน.
-I think that Peter  will  come  back  home  tomorrow
  ฉันคิดว่าปีเตอร์จะกลับบ้านวันพรุ่งนี้

2.What
-What my mother said is true everything.
  สิ่งที่แม่ของฉันพูดเป็นความจริงทุกอย่าง
-I understand  what my mother said.
  ฉันเข้าใจสิ่งที่แม่ของฉันพูด

3.Where
- where John  went last night is unknow.
   จอร์นไปที่ไหนเมื่อคืนนี้ยังไม่มีใครรู้
-I don’t know where John  went last night.
    ฉันไม่รู้ว่าเมื่อคืนนี้จอร์นไปที่ไหน

4. When
-When the train will arrive is unknow.
รถไฟจะมาถึง เมื่อไหร่ไม่มีใครรู้
-I don’t know when the train will arrive.
ฉันไม่รู้ว่าเมื่อไหร่รถไฟจะมาถึง

5.why
- why they come  school very late surprise me.
   ทำไมพวกเขาถึงมาโรงเรียนสายทำให้ฉันแปลกใจ
-I know why they come  school very late.
  ฉันรู้ว่าทำไมพวกเขาถึงมาโรงเรียนสาย

6. How
- How long  Jennifer will  stay  here  is  doubtful.
  เจนนิเฟอร์จะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไรคาดเดาไม่ได้.
-I couldn't tell him how long  Jennifer will  stay  here. 
   ฉันไม่สามารถบอกเขาได้ว่าเจนนิเฟอร์จะพักอยู่ที่นี่นานเท่าไร

7. Yes,No question (Do)
Does he speaks  Japanese? (Direct)
:  I want to know whether he speaks  Japanese or not. (Indirect)
  ฉันอยากรู้ว่าเขาพูดภาษาญี่ปุ่นได้หรือไม่
Did you attend seminar yesterday? (Direct)
: I wonder  if you attend seminar yesterday(Indirect)
ฉันสงสัยว่าเธอเข้าร่วมสัมมนาเมื่อวานหรือเปล่า

8. Yes,No question (Be)
Are you going to do homework today? (Direct)
:   I don’t know whether you are going to do homework today. (Indirect)
ฉันไม่รู้ว่าวันนี้คุณจะทำการบ้านหรือไม่
Are you going home after class? (Direct)
:   I wonder if you  going home after class. (Indirect)

หลังเลิกเรียน คุณจะกลับบ้านเลยหรือเปล่า

Learning log 8 ในห้องเรียน

Learning log 8

ในห้องเรียน

การศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้รับความรู้เรื่อง Noun Clauses ซึ่งการเรียนรู้หลักไวยากรณ์ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากเปรียบเสมือนกระดูกสันหลัง ถ้าไม่มีกระดูกสันหลังเราไม่สามารถเดินได้ การเรียนที่ดีที่สุดคือการเรียนโดยการศึกษาด้วยตนเอง แม้ว่าอาจารย์จะเป็นผู้ให้วิชาในชั้นเรียน คือครูกับผู้เรียน แต่สิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถของผู้เรียนจริงๆคือ การเรียนรู้ผู้เรียนกับผู้เรียน  ซึ่งจะทำให้เรารู้ภาษาอังกฤษโดยอัตโนมัติ (Learning acquisition) แลกเปลี่ยนความรู้เพื่อนำไปใช้จริงในชีวิตประจำวัน สอดคล้องกับการเรียนในเรื่องนี้ ซึ่งจะต้องเริ่มศึกษาจากโครงสร้างของ noun clause การแปลประโยค noun clause ให้ถูกต้องตามบริบท นำไปสู่การแปลประโยคระดับย่อหน้า ( paragraph) ซึ่งนั่นคือจะมีความซับซ้อนมากมาย นักศึกษาจำเป็นต้องมีเนื้อหาที่แน่นและเข้าใจอย่างถ่องแท้ เพื่อจะสามารถแบ่งประเภทของ noun clause ได้ และสามารถบอกความหมายของประโยค รวมทั้งแต่งประโยค noun clauseได้
Noun Clauses  คืออนุประโยคที่ไม่สมบูรณ์ ทำหน้าที่เป็นคำนามในประโยค ในการสนทนาในชีวิตประจำวัน เราอาจได้ยินหรือใช้ noun clauses โดยไม่รู้ตัวว่ากำลังใช้ noun clauses อยู่ เช่น I think that you’re very pretty. That scores are going down is clear. Noun clauses เหล่านี้ เมื่ออยู่ในตำแหน่งของประธานจะเรียกว่า "Subject noun clauses" และเมื่ออยู่ในตำแหน่งของกรรม จะเรียกว่า "Object noun clauses" Object Noun Clauses จะต้องอยู่คู่กับ Main Clause ของประโยคเสมอ โดยประโยคจะเริ่มด้วย Main Clause แล้วตามด้วย Object Noun clause โดยไม่ต้องมีเครื่องหมาย Comma คั่น Object noun clauses มี 3 ประเภท ได้แก่ 1. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "that"  2. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วย "Wh- Question " และ3. Noun Clauses ที่ขึ้นต้นด้วยคำว่า "if" หรือ "whether

วันศุกร์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2558

Learning log 9 นอกห้องเรียน


Learning log 9

นอกห้องเรียน

จากการศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้ศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะ 4 ด้าน คือทักษะการพูด (Speaking Skill) โดยศึกษาจากเว็บไซต์ http://www.englishbychris.com/portfolio-items/5-ways-to-learn-english/ เรื่อง วิธีการเรียนภาษาอังกฤษ (Learn English Step) และการฝึกทักษะการฟัง เขียน อ่านภาษาอังกฤษ จาก http://th.wikihow.com/เรียนภาษาอังกฤษ ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เหมาะสมอย่างมากในการเรียน ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจ การท่องเที่ยวหรือเหตุผลส่วนตัวอื่น ๆ แต่การเรียนภาษานั้น ไม่ว่าจะภาษาใดก็ตาม ก็ต้องใช้ความขยัน ความตั้งใจและไม่อายที่จะพูดแม้ว่าอาจจะผิด เพราะภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความสำคัญและเป็นภาษากลางที่ใช้ในการติดต่อสื่อสาร เมื่อมีการเปิดสมาคม ASEAN อย่างเสรี ทำให้ประเทศสมาชิกสามารถเดินทางไปยังประเทศสมาชิกาอื่น ๆ ได้โดยใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลาง ในการพูดภาษาอังกฤษ หากพูดผิดหรือใช้คำผิดก็ไม่สามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้ ประเด็นแรกบทความนี้จะมีการกล่าวถึงเทคนิคในการเรียนภาษาอังกฤษ เพื่อเป็นแนวทางที่ถูกต้องนำไปสู่การเพิ่มทักษะในการพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วและถูกต้อง
วิธีที่หนึ่งคือ ลองฝึกพูดภาษาอังกฤษวันละน้อยทุก ๆ วัน วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนภาษาคือการพูดภาษานั้น ๆ ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มพูดและรู้ศัพท์เพียงเล็กน้อยหรือคุณค่อนข้างพูดภาษาอังกฤษได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว การพูดภาษาอังกฤษกับคนอื่นเป็นวิธีฝึกพูดภาษาอังกฤษที่ดีและมีประสิทธิภาพที่สุด อย่ารอจนกว่ารู้สึกพร้อมที่จะพูดภาษาอังกฤษเพราะมักจะไม่รู้สึกแบบนั้นถ้าเพิ่งหัดพูด สิ่งที่ควรทำคือหัดพูดภาษาอังกฤษตั้งแต่วันนี้ แล้วคุณจะแปลกใจเมื่อได้เห็นว่าทักษะภาษาอังกฤษของคุณพัฒนาไปได้ขนาดไหน ลองหาชาวต่างชาติที่พูดภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ดูสักคน โดยหาคนที่สามารถให้เวลาในการฝึกพูดภาษาอังกฤษได้ พูดคุยกันเป็นเวลา 30 นาทีด้วยภาษาอังกฤษ จากนั้นก็คุยกันด้วยภาษาไทยในอีก 30 นาทีต่อมา หากอยู่ในประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษอยู่แล้ว คุณอาจจะลองฝึกพูดโดยเริ่มจากบทสนทนาง่าย

Learning log 8 นอกห้องเรียน


Learning log 8

นอกห้องเรียน

              ทักษะการอ่าน (Reading Skill) และการฟังเป็นทักษะที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิตในโลกปัจจุบัน ผู้ที่อ่านหรือฟังมากย่อมมีความรู้มาก  ทักษะภาษาอังกฤษอันประกอบด้วยทักษะการฟัง การพูด การอ่าน และการเขียนนั้น ทักษะที่จำเป็นมากที่สุดคือ ทักษะการอ่าน ทักษะการอ่านภาษาอังกฤษจัดว่าเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนยุคใหม่ เป็นเครื่องมือสำหรับการแสวงหาความรู้ เพราะการอ่านจะช่วยสร้างเสริมความรู้ความคิดของคนให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น การอ่านมีบทบาทสำคัญในการเรียน ทุกระดับ จึงเป็นทักษะที่หลายคนต้องการและควรได้รับการส่งเสริมเป็นอย่างยิ่ง และจะมีโอกาสใช้ทักษะการฟัง การพูด และการเขียน น้อยกว่าการอ่าน  แต่อย่างไรก็ตามทักษะการฟัง (Listening Skill ) ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าทักษะอื่นๆ เพราะถ้าหากเราฟังไม่เข้าใจเราก็ไม่สามารถที่จะสื่อสารภาษอังกฤษกับผู้อื่นหรือชาวต่างชาติได้ ดิฉันจึงเลือกศึกษา เว็บไซต์ 2 เว็บไซต์เพื่อช่วยฝึกทักษะ 2 ทักษะ คือ http://www.kengpasa.com/Exercise/reading/reading.as สำหรับฝึกทักษะการอ่าน และ ฝึกทักษะการฟัง ผ่านเว็บไซต์ http://sing-book.blogspot.com/English Audio Book  
ดิฉันได้ศึกษาเว็บไซต์ http://www.kengpasa.com/Exercise/reading/reading.as เป็นเว็บไซต์ที่น่าสนใจและเหมาะสมแก่การฝึกทักษะการอ่าน ซึ่งจะมีเนื้อหาบทความในการฝึกตั้งแต่ระดับที่ 1 ง่ายๆจนเพิ่มความยากถึงระดับความยากที่ 20 ซึ่งแต่ละบทจะเป็นการฝึกอ่านและการทดสอบคำศัพท์ ดิฉันเลือกบทที่ 1 เรื่อง Malaysia’s largest mall opens (ที่มา Kuala Lumpur, AFP) ในบทความมีเนื้อหาว่า นายกรัฐมนตรีของมาเลเซียได้เปิดตัว ห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเพื่อการท่องเที่ยวให้แก่ประประชาชน หลังจากที่ล่าช้ามาสี่ปีแล้ว และเจ้าหน้าที่ คาดว่ามีนักท่องเที่ยวประมาณสามล้านคนต่อเดือน ที่ไปเที่ยวห้างสรรพสินค้าแห้งนี้ และมีทั้งคำศัพท์ที่แปลได้และไม่ได้ เพราะคำศัพท์แต่ละคำจะมีความหมายที่ต่างกัน เมื่อนำไปใช้ในประโยค ซึ่งต้องทราบ Part of speed และ Function ก่อนว่าคำศัพท์นั้นทำหน้าที่อะไรในประโยค เช่น คำว่า launch verb คือ เปิดใหม่,ออกใหม่ ถ้าเป็น noun คือการปล่อย,การเริ่มปฏิบัติการ

Learning Log 7 ในห้องเรียน

Learning Log 7

ในห้องเรียน

การศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้เรียนรู้ 2 ประเด็นคือ การทดสอบคำศัพท์(vocabulary) และประเภทของ If-Clauses ปัจจุบันนี้ภาษาอังกฤษได้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของคนไทย และคนทั่วโลกไปแล้ว มนุษยชาติทุกวันนี้สื่อสารกันด้วยภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อสื่อสารกันโดยตรงหรือโดยอ้อม ในการสื่อสารภาษาอังกฤษ สิ่งแรกที่ควรศึกษาคือการเรียนรู้คำศัพท์อาจจะเริ่มกับคำง่ายๆที่เจอบ่อยๆ แล้วค่อยเรียนรู้คำที่ยากขึ้น เพื่อนำไปสู่การใช้ประโยค หากผู้พูดไม่รู้คำศัพท์และความหมายก็จะไม่สามารถสื่อสารกันอย่างเข้าใจได้ และการแปลจึงมีความสำคัญเป็นส่วนหนึ่งในการสื่อสารประโยคภาษาอังกฤษ โดยเริ่มจากประเด็นแรกคือการทดสอบคำศัพท์(vocabulary) 
การทดสอบคำศัพท์จาก www.vocabularysize.com โดยการให้เลือกความหมายของคำศัพท์ที่ถูกต้องที่สุดเพียงข้อเดียว จากตัวเลือก 4 ตัวเลือก และอีกตัวเลือกคือ ตัวเลือกในกรณีที่ไม่ทราบคำศัพท์ ทั้งหมดมีจำนวน 100 ข้อ  ทำให้ดิฉันทราบว่าความรู้ในด้านคำศัพท์ของดิฉันอยู่ในระดับที่อ่อน แม้ว่าบางคำจะเป็นคำง่ายๆ เช่น jug ,pup,drill เป็นต้น บางคำเป็นคำยากที่ไม่เคยรู้จัก เช่นoctopus, reconnoiter, canonical เป็นต้น แต่มีหลายคำที่ดิฉันก็ไม่ทราบความหมายที่ชัดเจนและไม่มีความมั่นใจในความหมายของคำศัพท์นั้นมากพอที่จะเลือกคำตอบได้ เมื่อทำการทดสอบเสร็จทางเว็บไซต์จะให้กรอกข้อมูลเกี่ยวกับตนเอง เมื่อกรอกข้อมูลครบถ้วนแล้ว จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับคำศัพท์ให้ศึกษาโดยมีหัวข้อว่า “ You know at least 6,600 English word families! ” และอธิบายประเด็น 4 หัวข้อ คือ What do my results mean?, What is a word family? , Where are the answers? และ How can I improve my vocabulary?

วันศุกร์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2558

ประโยค Passive Voice

Passive Voice

1. Present Simple Tense   =  is, am, are + V.3
              A book is written by Jescika.

                   (V.1)                 (be+V.3)   
                     
                                is + V.
2. Present Continuous Tense  =  is, am, are, + being + V.3
A book is  being  written by Jescika.

                 (is +ing)                  (be+ V.3)     

                             is+ being + V.3
3. Present Perfect Tense = has, have + been + V.3
A book has been written by Jescika.

             (has + V.3)                 (be + V.3)
        
                           has + been + V.3
4. Present Perfect Continuous Tense = has, have + been + being + V.3
A  book has been being written by Jescika.


            (has + been + ing)                    (be + V.3)


                             has+ been + being + V.3
5. Past Simple Tense = was, were, + V.3
A book was written by Jescika.

                (V.2)                 (be+V.3)   
                     
                            was+ V.3
6. Past Continuous Tense = was, were, + being + V.3
A book was being written by Jescika.

                (was +ing)                 (be+ V.3)    

                            was+ being + V.3
7. Past Perfect Tense = had  been + V.3
A book had been written by Jescika.

           (had + V.3)                    (be+ V.3)   

                          had  been + V.3
8. Past Perfect Continuous Tense = had been + being + V.3
A book had been being written by Jescika.


  (had + been + V ing )                    (be+ V.3)
     

                        had been + being + V.3
9. Future Simple Tense = will, shall + be + V.3
A book will be written by Jescika.

           (will + V.1)                   (be + V.3)    

                          will + be + V.3
10. Future Continuous Tense = will, shall + be + being + V.3
A book  will be being written by Jescika.

(will + be + Ving)                        (be + V.3)    

                        will + be + being + V.3
11. Future Perfect Tense = will, shall + have been + V.3
A book will have been written by Jescika.

(will + have + V.3)                         (be + V.3)  
 
                        will + have been + V.3
12. Future Perfect Continuous Tense = will, shall + have been + being + V.3
A book will have been being written by Jescika.

(will + have been + Ving)                   (be + V.3)  


             will + have been + being + V.3

Learning log 7 นอกห้องเรียน

Learning log 7

นอกห้องเรียน

               การศึกษานอกห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้ศึกษาเพื่อพัฒนาทักษะ 1 ด้าน คือทักษะการเขียน (Writing skill) การเขียนคือ การสื่อสารให้ผู้อื่นได้รับรู้ด้วยข้อความเป็นลายลักษณ์อักษร มีจุดมุ่งหมายเพื่อถ่ายทอดความคิดของผู้ส่งสารคือผู้เขียนไปสู่ผู้รับสารคือผู้อ่าน การเขียนจึงเป็นทักษะหนึ่งที่มีความสำคัญในการเขียนประโยคเพื่อสื่อสารให้แก่ผู้อื่น การเลือกสรรคำที่เหมาะสมในการแต่งประโยคเพื่อให้ถูกต้องตามโครงสร้างหลักไวยากรณ์ ในฐานะที่ดิฉันได้เลือกเรียนคณะครุศาสตร์ ภาษาอังกฤษ  นั่นคือวิชาชีพครูเพื่อนำไปสู่การสอนที่ดี ที่ถูกต้องในอนาคต จึงต้องคำนึงว่าครูผู้สอนควรมีความรู้และความสามารถในการจัดการเรียนรู้เพื่อฝึกทักษะการเขียนให้แก่ผู้เรียนได้อย่างไร ผู้เรียนจึงจะมีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพสูงสุด เทคนิคการสอนทักษะการเขียนภาษาอังกฤษ ( Writing Skill)
เทคนิค การฝึกทักษะการเขียน มี 3 แนวทาง คือ การเขียนแบบควบคุม (Controlled Writing), การเขียนแบบกึ่งควบคุม (Less – Controlled Writing) และการเขียนแบบอิสระ ( Free Writing) แนวทางที่หนึ่งคือ การเขียนแบบควบคุม (Controlled Writing)เป็นแบบฝึกการเขียนที่มุ่งเน้นในเรื่องความถูกต้องของรูปแบบ เช่น การเปลี่ยนรูปทางไวยากรณ์ คำศัพท์ในประโยค โดยครูจะเป็นผู้กำหนดส่วนที่เปลี่ยนแปลงให้ผู้เรียน ผู้เรียนจะถูกจำกัดในด้านความคิดอิสระ สร้างสรรค์ แนวทางที่สองคือ การเขียนแบบกึ่งควบคุม (Less – Controlled Writing) เป็นแบบฝึกเขียนที่มีการควบคุมน้อยลง และผู้เรียนมีอิสระในการเขียนมากขึ้น การฝึกการเขียนในลักษณะนี้ ครูจะกำหนดเค้าโครงหรือรูปแบบ แล้วให้ผู้เรียนเขียนต่อเติมส่วนที่ขาดหายไปให้สมบูรณ์ วิธีการนี้ ช่วยให้ผู้เรียนพัฒนาทักษะความสามารถในการเขียนได้มากขึ้น อันจะนำไปสู่การเขียนอย่างอิสระได้ในโอกาสต่อไป

Learning log 6 ในห้องเรียน

Learning log 6

ในห้องเรียน 

             การศึกษาในห้องเรียนครั้งนี้ ดิฉันได้ความรู้ในเนื้อหาทั้งหมด 2 ประเด็น  คือ เรื่อง  Adjective Clause และการเปลี่ยน Adjective Clause เป็น  Adjective phrase โดยในการเรียนครั้งนี้จะเน้นการลดประโยค เพื่อนำไปเขียนประโยคเป็น  Adjective phrase ซึ่งการที่เราลดรูปประโยค เพื่อทำให้ประโยคหรือบริบทที่เราเขียนนั้นมีความกระชับยิ่งขึ้น ไม่ยืดเยื้อจนเกินไป และเพื่อสร้างความหลากหลายในการใช้ภาษา ไม่ให้เกิดความซ้ำซากจำเจและน่าเบื่อ การลดรูปนั้นไม่ได้ทำให้ความหมายบิดเบือนไปจากเดิมซึ่งจะช่วยความกระชับของเนื้อหาแต่ก็ยังคงรักษาต้นฉบับเดิมไว้ ความหมายก็ยังเหมือนเดิม ประเด็นแรกคือ  Adjective Clause คือ อนุประโยคที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายคำนามAdjective Clause จะนำหน้าด้วย "คำเชื่อมสัมพันธ์ (Relative Pronouns) ซึ่งได้แก่คำต่อไปนี้คือ   who, that, which, where, when, why ,whom, whose, how, in which, of which, of whom เป็นต้น  Relative Pronouns เป็นสรรพนามที่ใช้เชื่อมใจความสำคัญเข้าด้วยกันโดยใช้เชื่อม Adjective Clause ที่ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ขยายคำนามหรือคำสรรพนามที่วางอยู่ข้างหน้าของมัน
การใช้ who ใช้กับคำนามที่เป็นบุคคลหรือเกี่่ยวกับคนซึ่งเป็นประธานของใจความขยาย หมายความว่า who ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนาม ที่เป็นบุคคลกับอนุประโยคที่ใช้ขยายหรือ แสดงลักษณะของนาม หรือสรรพนามตัวนั้น เช่น He is the man who can play football  very well.            เขาคือผู้ชายที่สามารถเล่นฟุตบอลได้เก่งมาก เป็นการขยายประธาน คือ the man  whom ใชักับคำนามที่เป็นบุคคลหรือเกี่ยวกับคนซึ่งเป็นกรรมของใจความขยาย หมายความว่า whom ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นบุคคลซึ่งเป็นกรรมของอนุประโยคที่มันขยาย  เช่น I saw some on whom you know. ผม เห็นใครบางคนที่คุณรู้จัก whose ใช้แสดงความเป็นเจ้าของของบุคคล  หมายความว่า whose ใช้เชื่อมคำนามหรือคำสรรพนามที่เป็นบุุคคลซึ่งวางอยู่ข้างหน้าของมันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแทนคำนามหรือคำสรรพนามที่มันขยาย เช่น This is the woman whose husband is a teacher. นี่คือผู้หญิงที่สามีของเธอเป็นอาจารย์

โครงงานน้ำยาล้างมือ Hand Soap 4S BY ป.4

         น้ำยาล้างมือ Hand Soap 4S สูตรว่านหางจระเข้